|
เรื่องของพลังงาน
|
ตอน พลังงานมาจากไหน
นับจากนี้เป็นต้นไป พื้นที่อันมีค่าตรงนี้จะถูกใช้เพื่อเป็นการนำคุณผู้อ่านไปตาม
"เส้นทางสู่พลังงานสีเขียว"
เราจึงอยากจะขอชักชวนคุณติดตามการเดินทางครั้งนี้ที่มีจุดมุ่งหมาย...
ในการนำไปพบกับเรื่องราวอันเป็นสาระน่ารู้ด้าน "พลังงานสะอาด"
พลังงานที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และหากเรามาร่วมใจกันให้ความสำคัญ
ไม่มองเห็นเป็นเรื่องไกลตัว ก็คงจะเป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทยที่จะได้มีแหล่งพลังงานใหม่ๆ
จากธรรมชาติ ซึ่งสะอาด ปราศจากมลพิษใดๆ รวมถึงไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม |
พลังงานมาจากไหน
การที่จะไปค้นหาคำตอบให้ได้นั้น ต้องมาทำความเข้าใจในคำว่า
"พลังงาน" เสียก่อน เพื่อจะได้ไม่สับสนในที่มาที่ไปของพลังงาน
ซึ่งในตอนต่อๆ ไปจะได้รู้ว่า มีพลังงานอีกมากมายหลายประเภทด้วยกัน
ให้คุณลองสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว เช่น รถยนต์ที่ขับเคลื่อนบนท้องถนน
สามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของพลังงาน
อาหารที่รับประทานทุกวันก็เป็นแหล่งพลังงาน โดยเมื่อรับประทานเข้าไปร่างกายจะแปลงเป็นพลังงานให้เรานำไปใช้ยามทำกิจกรรมต่างๆ
จากตัวอย่างเหล่านี้ พอจะนิยามได้ว่า พลังงาน คือ ความสามารถในการทำงาน
(the ability or capacity to do work)1 นั่นเอง
พลังงาน มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น พลังงานความร้อน, พลังงานแสง,
พลังงานไฟฟ้า และพลังงานเคมี เป็นต้น โดยสามารถจัดได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่
คือ พลังงานศักย์2และพลังงานจลน์3
พลังงานไม่มีการสูญหายไปไหน แต่มีการเปลี่ยนรูปได้ โดยจะเปลี่ยนรูปจากพลังงานรูปแบบหนึ่งไปเป็นรูปแบบอื่น
ตัวอย่างของการเปลี่ยนรูปพลังงาน เช่น รถยนต์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในรูปของพลังงานเคมี
จากนั้นเครื่องยนต์จะเปลี่ยนพลังงานเคมีเป็นพลังงานความร้อนและพลังงานจลน์
เพื่อให้พลังงานแก่รถยนต์ อาหารสะสมพลังงานไว้ในรูปของพลังงานเคมีซึ่งเป็นพลังงานศักย์
เมื่อรับประทานเข้าไปจะเก็บสะสมพลังงานไว้จนกระทั่งมีการทำกิจกรรม
พลังงานจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานจลน์ในที่สุด
|
บน: |
เครื่องยนต์เปลี่ยนพลังงานเคมีให้เป็นพลังงานความร้อนและพลังงานจลน์ |
ล่าง: |
ร่างกายเปลี่ยนพลังงานเคมีในอาหารให้เป็นพลังงานที่ร่างกายต้องการ |
|
พลังงานก็มีหน่วยวัดเช่นเดียวกัน พลังงานชนิดต่างๆ
มีหน่วยวัดที่แตกต่างกันออกไป เช่น บาร์เรล (barrels) หรือแกลลอน
(gallons) เป็นหน่วยของน้ำมันเชื้อเพลิง, พลังงานไฟฟ้ามีหน่วยเป็น
กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kilowatt-hours) และหน่วยที่ใช้วัดปริมาณความร้อน
ได้แก่ บีทียู4 (Btu) เป็นระบบอังกฤษ, จูล5
(Joules;J) เป็นระบบเอสไอ และแคลอรี่6 (Cal) เป็นระบบเมตริก
ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยที่ใช้วัดปริมาณความร้อน เป็นดังนี้
1 Btu = 252 Cal และ 1 Cal = 4.2 J |
ความสำคัญของดวงอาทิตย์ ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล
ดวงอาทิตย์ยังเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของโลกอีกด้วย เป็นต้นกำเนิดพลังอันมหาศาล
ดวงอาทิตย์ที่มีลักษณะคล้ายลูกบอลกลมๆ ใหญ่ๆ เกิดพลังงานได้อย่างไร?
ภายในดวงอาทิตย์ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชั้น คือ ก๊าซไฮโดรเจนอยู่ชั้นในแกนกลาง
มีถึง 71% และชั้นนอกเป็นก๊าซฮีเลียม 27% เป็นเวลานานหลายล้านปีมาแล้วที่แกนกลางซึ่งมีก๊าซไฮโดรเจนเกิดการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วของอะตอม
วิ่งชนกันบ้าง รวมตัวกันบ้างจนเกิดเป็นก๊าซฮีเลียมอยู่ชั้นนอก
กระบวนการนี้เรียกว่า Nuclear fusion ในขณะที่มีการรวมตัวเข้าด้วยกัน
จะมีมวลบางส่วนหายไป และได้เปลี่ยนเป็นพลังงานอันมหาศาล
|
|
ดวงอาทิตย์สามารถผลิตพลังงานได้ถึง
3.8 x 1023 กิโลวัตต์ แพร่กระจายออกมายังอวกาศในทุกทิศทางในรูปของรังสีดวงอาทิตย์
(Solar radiation) ระยะห่างของโลกกับดวงอาทิตย์มากถึง 1.5 x
108 กิโลเมตร แต่พลังงานเดินทางมาด้วยเวลาเพียง
8 นาทีเท่านั้น พลังงานจากดวงอาทิตย์ส่งมายังโลกประมาณ 1.8
x 1014 กิโลวัตต์ (1.4 กิโลวัตต์/ตารางเมตร)
และดูดซับโดยพื้นผิวโลกประมาณ 0.85 x 1014 กิโลวัตต์หรือ
47% พื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกจะได้รับรังสีดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับองศาจากเส้นศูนย์สูตร, ระดับความสูง และฤดูกาลของพื้นที่นั้นๆ
เป็นที่เชื่อกันว่า ดวงอาทิตย์ได้ทำการผลิตพลังงานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึง
5 ล้านล้านปีแล้ว แต่ทว่าปริมาณพลังงานที่ผลิตได้นั้นไม่คงที่เสมอไปเนื่องด้วยปัจจัยต่างๆ |
พลังงานจากดวงอาทิตย์มายังโลก
100%, ดูดซับโดยพื้นผิวโลก 47%, สะท้อนกลับชั้นบรรยากาศ
30% และ 23% ดูดซับเกิดเป็นวัฏจักรน้ำ, ทะเล
และลม |
|
พลังงานความร้อนและแสงสว่างถูกปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์มายังพื้นผิวโลกในรูปของคลื่นต่างๆ7
เมื่อโลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ จะแผ่รังสีสะท้อนกลับสู่ชั้นบรรยากาศ
ซึ่งเรียกว่า รังสีโลก (Terrestrial radiation) แบ่งออกเป็น
ขณะอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก จะสะท้อนกลับไปโดยกลุ่มเมฆและไอน้ำ
และขณะตกกระทบพื้นผิวโลกที่มีหลายลักษณะ (เช่น หิน ดิน
ทรายและแม่น้ำ ฯลฯ) จึงมีผลให้ความสามารถในการดูดซับและสะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์แตกต่างกันด้วย
นอกจากนี้ ผลกระทบจากพลังงานจากดวงอาทิตย์และชั้นบรรยากาศของโลกก็เป็นตัวกำหนดปรากฏการณ์ต่างๆ
เช่น สภาพอากาศ, อุณหภูมิ, วัฏจักรของน้ำ (Water cycle) เมื่อน้ำดูดซับรังสีจากดวงอาทิตย์
จะระเหยกลายเป็นไอ และตกลงมาเป็นฝนและหิมะ, ลม ซึ่งเกิดจากรังสีดวงอาทิตย์ที่ทำให้พื้นผิวโลกร้อนขึ้นและแผ่ปกคลุมอากาศโดยรอบ
กระแสลมร้อนจะลอยตัวขึ้นไปด้านบน และอากาศเย็นจะเคลื่อนต่ำลงเข้ามาแทนที่
ทำให้เกิดลม, พืชสีเขียวและสัตว์เซลล์เดียวบางชนิด อาศัยแสงอาทิตย์ในกระบวนการสังเคราะห์แสง
(Photosynthesis) รวมถึงการเอียงของโลกเข้าหาดวงอาทิตย์ด้วยองศาที่ต่างกัน
ส่งผลให้เกิดฤดูกาลที่แตกต่างกันไป
พลังงานจากดวงอาทิตย์ถือเป็นรากฐานของพลังงานทั้งมวลในโลก ซึ่งมีความจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก
อาจกล่าวได้ว่า "ดวงอาทิตย์เป็นบ่อเกิดของทุกการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตบนโลก"
ตอนหน้ามาติดตามกันต่อไป... พลังงานเกิดขึ้นได้อย่างไร? จะเกี่ยวข้องกับกระบวนการ
Nuclear fusion หรือไม่?
|
1 |
ที่มา: www.encyclopedia.com |
2 |
พลังงานศักย์ (Potential energy) ได้แก่
พลังงานที่มีสะสมอยู่ในตัว อันเนื่องมาจากตำแหน่งหรือสภาวะของวัตถุ
เช่น พลังงานเคมีและพลังงานนิวเคลียร์ ฯลฯ |
3 |
พลังงานจลน์ (Kinetic energy) ได้แก่
พลังงานที่เกิดจากการเคลื่อนที่ เช่น พลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อน
ฯลฯ |
4 |
Btu คือ ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำมวล
1 ปอนด์มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 °F |
5 |
Joules คือ ปริมาณความร้อนที่มีขนาดเท่ากับงานที่เกิดจากแรง
1 นิวตัน กระทำต่อวัตถุ แล้วมีผลให้วัตถุนั้นเคลื่อนที่ไปตามทิศทางของแรงกระทำเป็นระยะทาง
1 เมตร |
6 |
Cal คือ ปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำมวล
1 กรัมมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 °C |
7 |
คลื่นต่างๆ ได้แก่ รังสีคอสมิก (Cosmic
ray), รังสีแกมมา (Gamma ray), รังสีเอ็กซ์ (X-Ray), คลื่นวิทยุ
(Radio wave), รังสีอินฟราเรด (Infrared), รังสีอัลตร้าไวโอเลต
(Ultraviolet) และรังสีที่มองเห็นได้ (Visible rays) |
|
|
|
|
|
|
|
|